วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เเยมกล้วย
แยมโฮมเมดสูตรนี้ หาทานที่ไหนไม่ได้หรอกค่ะ นอกจากทำเอง หากไม่ชอบหวานอาจลดน้ำตาลได้บ้าง แต่ระยะเวลาที่เก็บอาจสั้นลง คือ ถ้าเก็บในตู้เย็น จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลักอย่างหนึ่งในการทำแยม คือ หากเนื้อผลไม้ที่ใช้ทำรสไม่จัดพอ มักจะนิยมเติมน้ำมะนาว หรือน้ำส้ม เพื่อให้รสแหลมขึ้น และเพิ่มความเป็นวุ้นให้กับแยมด้วยค่ะ ส่วนผสม | |||
กล้วยหอมห่าม | 12 | ผล | |
มะนาว | 4 | ผล | |
น้ำตาลทราย ประมาณ | 1 | กิโลกรัม | |
ส้มเกลี้ยง | 6 | ผล | |
วิธีทำ | |||
| |||
การแปรรูปมะนาวสู่ระดับอุตสาหกรรม
การแปรรูปมะนาวสู่ระดับอุตสาหกรรม
วิธีการที่จะทำการแปรรูปนั้นทำได้หลายวิธี ส่วนมากจะใช้เกลือ และน้ำตาล เป็นส่วนปรุงแต่ง และกรรมวิธีก็ไม่ยุ่งยากมากนักสามารถถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีอย่างง่ายให้แก่เกษตรกรได้อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถร่วมกับผู้วิจัยที่ใช้แต่น้ำ โดยนำเปลือกมาแปรรูปได้หลายอย่าง เช่น เปลือกมะนาวปรุงรสสามรส มะนาวแช่อิ่ม และร่วมวิจัยกับผู้ใช้เปลือกมะนาวเพื่อสกัดกลิ่นและน้ำมัน สามารถนำเอาผลมะนาวที่เอาเปลือกออกแล้วมาดองเค็มและทำหวานและเอาที่เป็นน้ำมาทำเป็นน้ำมะนาวพร้อมดื่ม และนำมะนาวผลมาดองเค็ม 3-4 เดือน แล้วนำไปทำแช่อิ่มสด แช่อิ่มแบบอบแห้ง มะนาวหยี ทอฟฟี่มะนาว มะนาวบด ละเอียดปรุงรสทำเป็นน้ำจิ้ม และทำซอสพริกมะนาวดอง มะนาวผงพร้อมดื่ม การแปรรูปมะนาวนั้นยังไม่แพร่หลายมากนัก เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ของผลมะนาวมากขึ้น จึงได้ทดลองทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อแนะนำสู่ประชาชนในพื้นที่ที่มีมะนาวมาก และนำไปผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าแก่วัตถุดิบ และยังส่งเสริมให้เกษตรกรมีงานทำและเพิ่มรายได้ มะนาวปลูกได้ง่ายในดินแทบทุกชนิดทั้งในที่ลุ่มและที่ดอน มะนาวที่นิยมปลูกในประเทศไทยมี 4 พันธุ์ คือ มะนาวไข่ ยาวเล็กกลม เปลือกบางผิวเรียบ มะนาวหนัง ผลโตกว่ามะนาวไข่ กลมมน ค่อนข้างยาว เปลือกหนา ผิวหยาบ มะนาวแป้น ผลกลมแป้นเหมือนผลส้มเขียวหวานลูกใหญ่ ใบมีขนาดโตกว่ามะนาวไข่เล็กน้อย และฐานใบกว้างกว่ามะนาวไข่ ให้ผลดกน้ำมากและให้ผลตลอดทั้งปี มะนาวพันธุ์แม่ไก่ไข่ดก มะนาวพันธุ์นี้เมื่อออกใหม่ๆ ได้รับความสนใจจากผู้ตั้งชื่อคือ คุณพยนต์ เกษตรกรแห่งอ่าวอุดม จังหวัดชลบุรี มะนาวพันธุ์นี้โดยบังเอิญเป็นมะนาวที่งอกจากเมล็ดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจปลูกโตขึ้นให้ผลดกเป็นพวงๆ ละ 8-9 ผล ผลมีลักษณะคล้ายไข่ไก่ จึงตั้งชื่อเล่นนั้นตามลักษณะใบและมีผลมีขนาดพอๆ กันกับมะนาวไข่ทั่วไปควรจัดไว้ในพวกมะนาวไข่แต่พิเศษ คือให้ผลดกเป็นพวงๆให้ผลผลิตสูง วิธีที่จะเก็บให้ได้ผลคุ้มจริงๆ ถึงแม้จะเก็บไว้ในตู้เย็น อุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส ซึ่งก็เก็บได้ไม่เกิน 1 เดือน เช่นกัน การเก็บมะนาวสดที่ความชื้นสัมพัทธ์ ร้อยละ 85 ถึงร้อยละ 90 อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส จะเก็บมะนาวไว้ได้ในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน หรือน้อยกว่า เนื่องจากมีการเน่าเสียจากเชื้อรา ในการเก็บควรจะหาทางลดปริมาณเชื้อราพวกนี้ โดยจุ่มในน้ำยา หรือรมยาพ่นยาฆ่าเชื้อราบนผิวมะนาวเสียก่อน และอายุการเก็บเกี่ยวก็สำคัญมาก มะนาวที่แก่จัดเกินไปเวลาเก็บก็จะทำให้เน่าเสียเร็ว ถ้าอ่อนเกินไปน้ำมะนาวจะมีรสขมและมีน้ำน้อย จึงจำเป็นต้องใช้มะนาวที่มีความแก่อ่อนกำลังดี สีเขียวจัดไม่มีโรคแมลงเจาะเน่า หรือช้ำมะนาวก็เช่นเดียวกับ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องการออกซิเจนในการหายใจ และคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ในบรรยากาศที่ไม่มีการควบคุมมะนาวจะหายใจในอัตราสูง ทำให้เน่าเสียเร็ว เวลาเก็บจึงต้องปรับสภาวะทำให้มะนาวหายใจช้าๆ สม่ำเสมอมะนาวจึงสดอยู่ได้นาน ยาฆ่าเชื้อรา ( Fungicide ) ที่ใช้และปริมาณที่ใช้มีดังนี้ Thiobensazole ร้อยละ 90 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร แช่นานครึ่งนาที Manzate-D 24 กรัม ต่อ 20 ลิตร แช่นานครึ่งนาที Ben late 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ 10 ลิตร แช่นานครึ่งนาที จะใช้ชนิดใดก็ได้ ตามสะดวกซึ่งจะให้ผลใกล้เคียงกัน ในระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนพฤศจิกายน เป็นฤดูที่มีมะนาวมากล้นตลาด ราคาตกต่ำเหมาะที่แม่บ้าน จะทำเป็นผลิตภัณฑ์ถนอมไว้รับประทานในครัวเรือนหรือทำเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน หรือทำเป็นอุตสาหกรรมภายในครอบครัวเป็นการเพิ่มรายได้ เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจของครอบครัว หรือจะคิดค้นหาวิธีเก็บถนอมมะนาวสดเก็บไว้รับประทานได้ในฤดูกาลที่ขาดแคลนและแพง เช่น การทำผลิตภัณฑ์มะนาวต่างๆ ดังนี้ น้ำมะนาวสดๆ บรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็น น้ำมะนาวแช่แข็ง เยลลี่มะนาว ทอฟฟี่มะนาว มะนาวดอง เปลือกมะนาวแห้งสามรส แยมผิวมะนาว (มาร์มาเลด) การแปรรูปมะนาวสดแช่แข็ง คนไทยตั้งเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับคุณภาพน้ำมะนาวไว้สูงมาก คือ น้ำมะนาวคั้นจากผลสด ไม่มีรสขม ไม่เปลี่ยนรส ข้อสำคัญต้องมีกลิ่นหอมของมะนาวสด จึงจะนำไปปรุงรสอาหารประเภทอาหารยำ ต้มยำ ส้มตำ น้ำพริกมะนาว น้ำพริกกะปิ และ อาหารไทยอื่นๆ น้ำมะนาวสดจะเปลี่ยนรสชาติทันทีถ้ากระทบกับความร้อน กลายเป็นน้ำมะนาวต้มและมีรสขม น้ำมะนาวจะตกตะกอนแยกชั้น จึงไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ร้านอาหารก็ไม่อาจใช้มะนาวที่มีคุณภาพเปลี่ยนไปปรุงอาหารได้ น้ำมะนาวที่เก็บค้างไว้นานเกิน 6 ชั่วโมง โดยไม่เก็บรักษาในสภาพเย็น น้ำมะนาวสดทีคั้นจะเสื่อมคุณภาพ มีรสชาติเปลี่ยนไป มีรสขมและกลิ่นคล้ายของดอง สาเหตุเกิดจากการทำงานของเอนไซต์และการสัมผัสอากาศ ดังนั้นการเก็บรักษาน้ำมะนาวสดให้คงคุณภาพเดิมจะเปลี่ยนไปน้อยที่สุด นั่นคือ การเก็บถนอมโดยการแช่แข็งน้ำมะนาวสดที่อุณหภูมิ – 30 องศาเซลเซียส (อย่างต่ำ – 20 องศาเซลเซียส) เพื่อเปลี่ยนสภาพน้ำมะนาวสดในรูปของเหลว กลายสภาพเป็นของแข็ง (น้ำแข็ง) น้ำมะนาวแช่แข็ง จะเก็บรักษาได้นานเกิน 6 เดือน โดยคุณภาพใกล้เคียงของสดมากที่สุด ได้ทดลองคืนสภาพน้ำมะนาวกลับไปกลับมาในรูปของเหลวและของแข็ง คุณภาพมะนาวยังคงเดิม ดังนั้นวิธีนี้จึงเหมาะสมที่ร้านอาหารและภัตตาคารจะนำไปใช้เก็บน้ำมะนาวที่มากในฤดูฝน และคืนสภาพเป็นน้ำมะนาวไว้ใช้ในฤดูร้อน ค่าใช้จ่ายต่อน้ำมะนาวแช่แข็งจะตกไม่เกิน 1 บาทต่อกิโลกรัม น้ำมะนาวต่อเดือน ทุกคนจะคิดในทางเดียวกันว่าการใช้วิธีแช่แข็งเก็บน้ำมะนาวสด จะมีต้นทุนแพงมากขอตอบว่าคุ้มมาก ไม่แพงอย่างที่คิดเพราะน้ำมะนาว 1 กิโลกรัม จะได้จากผลมะนาวสดขนาดกลาง จำนวน 60 ผล หรือเฉลี่ย 1.6 สตางค์ ต่อผล ต่อเดือน หรือ 9.6 สตางค์ต่อผลต่อ 6 เดือน หากพิจารณาความสะดวกในการใช้น้ำมะนาวก็เกินคุ้ม การแปรรูปน้ำมะนาวแช่แข็งมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ จัดซื้อมะนาวที่แก่เต็มที่ผิวเปลือกยังคงสภาพเขียวทั้งผล ล้างผิวมะนาวให้สะอาด ไม่มีคราบสกปรก และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง วางให้สะเด็ดน้ำและพักให้ผิวแห้ง เตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ มีด เขียง ถัง และถาดให้พร้อมในสภาพที่ทำความสะอาดแล้ว ผ่าครึ่งผลมะนาว คั้นมะนาว ใช้เครื่องคั้น ใช้เครื่องบีบ หรือคั้นด้วยมือก็ได้ แยกเมล็ดที่ตกค้างในน้ำมะนาวออกให้หมด รีบบรรจุน้ำมะนาวใส่ถาดพลาสติกชนิดเย็นและหนาขนาด 100 กรัม หรือตักใส่ถาดพลาสติกสูงไม่เกิน 1 นิ้ว หรือใช้ถาดทำน้ำแข็งเป็นหลุมๆ ห้ามคั้นน้ำมะนาวทิ้งค้างไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง ต้องรีบแช่แข็ง วางในตู้เย็นชั้นน้ำแข็ง หรือตู้แช่แข็งที่มีอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส หรือห้องแช่แข็ง -20 อาศาเซลเซียส ประมาณ 6 ชั่วโมง น้ำมะนาวจะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์ สำหรับภาชนะที่ใช้บรรจุน้ำมะนาวเป็นถุงพลาสติกมีการผลึกปากถุงให้แน่น น้ำไม่ระเหยไปไหน สำหรับถาดน้ำแข็งเป็นหลุม และถาดเปิด ต้องนำออกมาปิดด้วยแผ่นพลาสติก เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ เพราะในตู้แช่แข็งจะมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำมาก จึงสูญเสียน้ำไม่ควรใช้พลาสติกบางชนิดย่น เพราะจะปริแตกและน้ำระเหยได้ แม่บ้านที่เตรียมน้ำมะนาวเองใส่ถาดน้ำแข็งจะนำมาเก็บในกล่องเก็บน้ำแข็งก็ได้ แต่ต้องปิดปากกล่องให้แน่นเวลาใช้ก็นำมาใช้ทีละก้อนจนกว่าจะหมด สำหรับร้านค้าและภัตตาคาร ก็ใช้ชนิดบรรจุพลาสติกจะสะดวกที่สุด หากเหลือใช้ก็มัดปากถุงเก็บใส่ตู้เย็นได้อีก สำหรับผู้สนใจทำเป็นการค้าหรือธุรกิจก็มีสูตรและกรรมวิธีการทำน้ำมะนาวแช่แข็งโดยเฉพาะติดต่อภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การเก็บรักษามะนาวในระดับการค้า เก็บเกี่ยวด้วยความประณีต คัดเลือกเฉพาะผลที่มีสีเขียวเข้มและมีขั้วติด ไม่มีบาดแผล รอยช้ำ โรค หรือแมลง ล้างทำความสะอาดด้วยคลอรีน 200 ppm แช่ยากันรา ในกลุ่ม Benzimidazale 500-1,000 ppm ผสม GA 200 ppm บรรจุในถุงพลาสติกเจาะรู เคลือบผิวด้วยสารเคลือบผิว บรรจุในตะกร้า เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 90-95 ควบคุมบรรยากาศให้มีออกซิเจน ร้อยละ 10 กำจัดเอธิลีนออกจากห้องเก็บรักษา ตามขั้นตอนที่ 1,2,5,7 และ 8 เก็บรักษาได้ 6-8 สัปดาห์ ตามขั้นตอนที่ 1,2,3,4,5 หรือ 6,7 และ 8 เก็บรักษาได้ 8-10 สัปดาห์ ตามขั้นตอนที่ 1,2,3,4,8 และ 9 เก็บรักษาได้ 10-12 สัปดาห์ ถ้าเพิ่มขึ้นขั้นตอนที่ 10 น่าจะเพิ่มอายุการเก็บรักษาได้อีก 2 สัปดาห์ ที่มา : หนังสืออุตสาหกรรมสาร ปีที่ 46 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนกันยายน - ตุลาคม 2546 หน้าที่ 22-31
วิธีการที่จะทำการแปรรูปนั้นทำได้หลายวิธี ส่วนมากจะใช้เกลือ และน้ำตาล เป็นส่วนปรุงแต่ง และกรรมวิธีก็ไม่ยุ่งยากมากนักสามารถถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีอย่างง่ายให้แก่เกษตรกรได้อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถร่วมกับผู้วิจัยที่ใช้แต่น้ำ โดยนำเปลือกมาแปรรูปได้หลายอย่าง เช่น เปลือกมะนาวปรุงรสสามรส มะนาวแช่อิ่ม และร่วมวิจัยกับผู้ใช้เปลือกมะนาวเพื่อสกัดกลิ่นและน้ำมัน สามารถนำเอาผลมะนาวที่เอาเปลือกออกแล้วมาดองเค็มและทำหวานและเอาที่เป็นน้ำมาทำเป็นน้ำมะนาวพร้อมดื่ม และนำมะนาวผลมาดองเค็ม 3-4 เดือน แล้วนำไปทำแช่อิ่มสด แช่อิ่มแบบอบแห้ง มะนาวหยี ทอฟฟี่มะนาว มะนาวบด ละเอียดปรุงรสทำเป็นน้ำจิ้ม และทำซอสพริกมะนาวดอง มะนาวผงพร้อมดื่ม การแปรรูปมะนาวนั้นยังไม่แพร่หลายมากนัก เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ของผลมะนาวมากขึ้น จึงได้ทดลองทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อแนะนำสู่ประชาชนในพื้นที่ที่มีมะนาวมาก และนำไปผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าแก่วัตถุดิบ และยังส่งเสริมให้เกษตรกรมีงานทำและเพิ่มรายได้ มะนาวปลูกได้ง่ายในดินแทบทุกชนิดทั้งในที่ลุ่มและที่ดอน มะนาวที่นิยมปลูกในประเทศไทยมี 4 พันธุ์ คือ มะนาวไข่ ยาวเล็กกลม เปลือกบางผิวเรียบ มะนาวหนัง ผลโตกว่ามะนาวไข่ กลมมน ค่อนข้างยาว เปลือกหนา ผิวหยาบ มะนาวแป้น ผลกลมแป้นเหมือนผลส้มเขียวหวานลูกใหญ่ ใบมีขนาดโตกว่ามะนาวไข่เล็กน้อย และฐานใบกว้างกว่ามะนาวไข่ ให้ผลดกน้ำมากและให้ผลตลอดทั้งปี มะนาวพันธุ์แม่ไก่ไข่ดก มะนาวพันธุ์นี้เมื่อออกใหม่ๆ ได้รับความสนใจจากผู้ตั้งชื่อคือ คุณพยนต์ เกษตรกรแห่งอ่าวอุดม จังหวัดชลบุรี มะนาวพันธุ์นี้โดยบังเอิญเป็นมะนาวที่งอกจากเมล็ดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจปลูกโตขึ้นให้ผลดกเป็นพวงๆ ละ 8-9 ผล ผลมีลักษณะคล้ายไข่ไก่ จึงตั้งชื่อเล่นนั้นตามลักษณะใบและมีผลมีขนาดพอๆ กันกับมะนาวไข่ทั่วไปควรจัดไว้ในพวกมะนาวไข่แต่พิเศษ คือให้ผลดกเป็นพวงๆให้ผลผลิตสูง วิธีที่จะเก็บให้ได้ผลคุ้มจริงๆ ถึงแม้จะเก็บไว้ในตู้เย็น อุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส ซึ่งก็เก็บได้ไม่เกิน 1 เดือน เช่นกัน การเก็บมะนาวสดที่ความชื้นสัมพัทธ์ ร้อยละ 85 ถึงร้อยละ 90 อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส จะเก็บมะนาวไว้ได้ในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน หรือน้อยกว่า เนื่องจากมีการเน่าเสียจากเชื้อรา ในการเก็บควรจะหาทางลดปริมาณเชื้อราพวกนี้ โดยจุ่มในน้ำยา หรือรมยาพ่นยาฆ่าเชื้อราบนผิวมะนาวเสียก่อน และอายุการเก็บเกี่ยวก็สำคัญมาก มะนาวที่แก่จัดเกินไปเวลาเก็บก็จะทำให้เน่าเสียเร็ว ถ้าอ่อนเกินไปน้ำมะนาวจะมีรสขมและมีน้ำน้อย จึงจำเป็นต้องใช้มะนาวที่มีความแก่อ่อนกำลังดี สีเขียวจัดไม่มีโรคแมลงเจาะเน่า หรือช้ำมะนาวก็เช่นเดียวกับ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องการออกซิเจนในการหายใจ และคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ในบรรยากาศที่ไม่มีการควบคุมมะนาวจะหายใจในอัตราสูง ทำให้เน่าเสียเร็ว เวลาเก็บจึงต้องปรับสภาวะทำให้มะนาวหายใจช้าๆ สม่ำเสมอมะนาวจึงสดอยู่ได้นาน ยาฆ่าเชื้อรา ( Fungicide ) ที่ใช้และปริมาณที่ใช้มีดังนี้ Thiobensazole ร้อยละ 90 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร แช่นานครึ่งนาที Manzate-D 24 กรัม ต่อ 20 ลิตร แช่นานครึ่งนาที Ben late 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ 10 ลิตร แช่นานครึ่งนาที จะใช้ชนิดใดก็ได้ ตามสะดวกซึ่งจะให้ผลใกล้เคียงกัน ในระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนพฤศจิกายน เป็นฤดูที่มีมะนาวมากล้นตลาด ราคาตกต่ำเหมาะที่แม่บ้าน จะทำเป็นผลิตภัณฑ์ถนอมไว้รับประทานในครัวเรือนหรือทำเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน หรือทำเป็นอุตสาหกรรมภายในครอบครัวเป็นการเพิ่มรายได้ เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจของครอบครัว หรือจะคิดค้นหาวิธีเก็บถนอมมะนาวสดเก็บไว้รับประทานได้ในฤดูกาลที่ขาดแคลนและแพง เช่น การทำผลิตภัณฑ์มะนาวต่างๆ ดังนี้ น้ำมะนาวสดๆ บรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็น น้ำมะนาวแช่แข็ง เยลลี่มะนาว ทอฟฟี่มะนาว มะนาวดอง เปลือกมะนาวแห้งสามรส แยมผิวมะนาว (มาร์มาเลด) การแปรรูปมะนาวสดแช่แข็ง คนไทยตั้งเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับคุณภาพน้ำมะนาวไว้สูงมาก คือ น้ำมะนาวคั้นจากผลสด ไม่มีรสขม ไม่เปลี่ยนรส ข้อสำคัญต้องมีกลิ่นหอมของมะนาวสด จึงจะนำไปปรุงรสอาหารประเภทอาหารยำ ต้มยำ ส้มตำ น้ำพริกมะนาว น้ำพริกกะปิ และ อาหารไทยอื่นๆ น้ำมะนาวสดจะเปลี่ยนรสชาติทันทีถ้ากระทบกับความร้อน กลายเป็นน้ำมะนาวต้มและมีรสขม น้ำมะนาวจะตกตะกอนแยกชั้น จึงไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ร้านอาหารก็ไม่อาจใช้มะนาวที่มีคุณภาพเปลี่ยนไปปรุงอาหารได้ น้ำมะนาวที่เก็บค้างไว้นานเกิน 6 ชั่วโมง โดยไม่เก็บรักษาในสภาพเย็น น้ำมะนาวสดทีคั้นจะเสื่อมคุณภาพ มีรสชาติเปลี่ยนไป มีรสขมและกลิ่นคล้ายของดอง สาเหตุเกิดจากการทำงานของเอนไซต์และการสัมผัสอากาศ ดังนั้นการเก็บรักษาน้ำมะนาวสดให้คงคุณภาพเดิมจะเปลี่ยนไปน้อยที่สุด นั่นคือ การเก็บถนอมโดยการแช่แข็งน้ำมะนาวสดที่อุณหภูมิ – 30 องศาเซลเซียส (อย่างต่ำ – 20 องศาเซลเซียส) เพื่อเปลี่ยนสภาพน้ำมะนาวสดในรูปของเหลว กลายสภาพเป็นของแข็ง (น้ำแข็ง) น้ำมะนาวแช่แข็ง จะเก็บรักษาได้นานเกิน 6 เดือน โดยคุณภาพใกล้เคียงของสดมากที่สุด ได้ทดลองคืนสภาพน้ำมะนาวกลับไปกลับมาในรูปของเหลวและของแข็ง คุณภาพมะนาวยังคงเดิม ดังนั้นวิธีนี้จึงเหมาะสมที่ร้านอาหารและภัตตาคารจะนำไปใช้เก็บน้ำมะนาวที่มากในฤดูฝน และคืนสภาพเป็นน้ำมะนาวไว้ใช้ในฤดูร้อน ค่าใช้จ่ายต่อน้ำมะนาวแช่แข็งจะตกไม่เกิน 1 บาทต่อกิโลกรัม น้ำมะนาวต่อเดือน ทุกคนจะคิดในทางเดียวกันว่าการใช้วิธีแช่แข็งเก็บน้ำมะนาวสด จะมีต้นทุนแพงมากขอตอบว่าคุ้มมาก ไม่แพงอย่างที่คิดเพราะน้ำมะนาว 1 กิโลกรัม จะได้จากผลมะนาวสดขนาดกลาง จำนวน 60 ผล หรือเฉลี่ย 1.6 สตางค์ ต่อผล ต่อเดือน หรือ 9.6 สตางค์ต่อผลต่อ 6 เดือน หากพิจารณาความสะดวกในการใช้น้ำมะนาวก็เกินคุ้ม การแปรรูปน้ำมะนาวแช่แข็งมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ จัดซื้อมะนาวที่แก่เต็มที่ผิวเปลือกยังคงสภาพเขียวทั้งผล ล้างผิวมะนาวให้สะอาด ไม่มีคราบสกปรก และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง วางให้สะเด็ดน้ำและพักให้ผิวแห้ง เตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ มีด เขียง ถัง และถาดให้พร้อมในสภาพที่ทำความสะอาดแล้ว ผ่าครึ่งผลมะนาว คั้นมะนาว ใช้เครื่องคั้น ใช้เครื่องบีบ หรือคั้นด้วยมือก็ได้ แยกเมล็ดที่ตกค้างในน้ำมะนาวออกให้หมด รีบบรรจุน้ำมะนาวใส่ถาดพลาสติกชนิดเย็นและหนาขนาด 100 กรัม หรือตักใส่ถาดพลาสติกสูงไม่เกิน 1 นิ้ว หรือใช้ถาดทำน้ำแข็งเป็นหลุมๆ ห้ามคั้นน้ำมะนาวทิ้งค้างไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง ต้องรีบแช่แข็ง วางในตู้เย็นชั้นน้ำแข็ง หรือตู้แช่แข็งที่มีอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส หรือห้องแช่แข็ง -20 อาศาเซลเซียส ประมาณ 6 ชั่วโมง น้ำมะนาวจะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์ สำหรับภาชนะที่ใช้บรรจุน้ำมะนาวเป็นถุงพลาสติกมีการผลึกปากถุงให้แน่น น้ำไม่ระเหยไปไหน สำหรับถาดน้ำแข็งเป็นหลุม และถาดเปิด ต้องนำออกมาปิดด้วยแผ่นพลาสติก เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ เพราะในตู้แช่แข็งจะมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำมาก จึงสูญเสียน้ำไม่ควรใช้พลาสติกบางชนิดย่น เพราะจะปริแตกและน้ำระเหยได้ แม่บ้านที่เตรียมน้ำมะนาวเองใส่ถาดน้ำแข็งจะนำมาเก็บในกล่องเก็บน้ำแข็งก็ได้ แต่ต้องปิดปากกล่องให้แน่นเวลาใช้ก็นำมาใช้ทีละก้อนจนกว่าจะหมด สำหรับร้านค้าและภัตตาคาร ก็ใช้ชนิดบรรจุพลาสติกจะสะดวกที่สุด หากเหลือใช้ก็มัดปากถุงเก็บใส่ตู้เย็นได้อีก สำหรับผู้สนใจทำเป็นการค้าหรือธุรกิจก็มีสูตรและกรรมวิธีการทำน้ำมะนาวแช่แข็งโดยเฉพาะติดต่อภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การเก็บรักษามะนาวในระดับการค้า เก็บเกี่ยวด้วยความประณีต คัดเลือกเฉพาะผลที่มีสีเขียวเข้มและมีขั้วติด ไม่มีบาดแผล รอยช้ำ โรค หรือแมลง ล้างทำความสะอาดด้วยคลอรีน 200 ppm แช่ยากันรา ในกลุ่ม Benzimidazale 500-1,000 ppm ผสม GA 200 ppm บรรจุในถุงพลาสติกเจาะรู เคลือบผิวด้วยสารเคลือบผิว บรรจุในตะกร้า เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 90-95 ควบคุมบรรยากาศให้มีออกซิเจน ร้อยละ 10 กำจัดเอธิลีนออกจากห้องเก็บรักษา ตามขั้นตอนที่ 1,2,5,7 และ 8 เก็บรักษาได้ 6-8 สัปดาห์ ตามขั้นตอนที่ 1,2,3,4,5 หรือ 6,7 และ 8 เก็บรักษาได้ 8-10 สัปดาห์ ตามขั้นตอนที่ 1,2,3,4,8 และ 9 เก็บรักษาได้ 10-12 สัปดาห์ ถ้าเพิ่มขึ้นขั้นตอนที่ 10 น่าจะเพิ่มอายุการเก็บรักษาได้อีก 2 สัปดาห์ ที่มา : หนังสืออุตสาหกรรมสาร ปีที่ 46 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนกันยายน - ตุลาคม 2546 หน้าที่ 22-31
ระบบการผลิตอาหาร (Good Agricultural Practice ; GAP)
GAP ย่อมาจากคำว่า “Good Agricultural Practice” ซึ่งทางกรมวิชาการเกษตรได้ให้ความหมาย ว่า “ เกษตรดีที่เหมาะสม ” เป็นระบบการจัดการกระบวนการผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ได้ผลิตผลที่ปลอดภัยมีคุณภาพ ปราศจากศัตรูพืช และจุลินทรีย์ เป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภคในประเทศไทย การตรวจประเมิน และรับรองระบบการจัดการโดยกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยปัจจัยที่ใช้ในการตรวจประเมินแปลงผลิตของเกษตรกรเพื่อให้ได้ตามระบบการจัดการคุณภาพพืช “ เกษตรดีที่เหมาะสม ” (GAP) มีการตรวจสอบอย่างน้อย 8 ปัจจัย คือ
• แหล่งน้ำ
• พื้นที่ปลูก
• การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร
• การเก็บรักษาและขนย้ายผลผลิตภายในแปลง
• การบันทึกข้อมูล
• การผลิตให้ปลอดจากศัตรูพืช
• การจัดกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตผลคุณภาพ
• การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
เมื่อเกษตรกรปฏิบัติตามทั้ง 8 ปัจจัยแล้ว จะได้รับหนังสือแหล่งผลิตพืช “ เกษตรดีที่เหมาะสม ” (GAP) ภายใต้สัญลักษณ์ “Q” ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรกำลังรณรงค์ให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการ โดยขอรับการจดทะเบียนแปลงเกษตรกร ซึ่งสามารถส่งแบบฟอร์มพร้อมกับยื่นใบคำขอได้ ณ หน่วยงาน ส.ว.พ. ทั้ง 8 เขต เพื่อให้ผู้ตรวจสอบแปลง GAP (Inspector) ซึ่งมีอยู่ 400 รายทั่วประเทศ เข้าไปทำการตรวจสอบได้
ขณะนี้มีเกษตรกรผ่านการตรวจสอบได้การรับรองระบบการจัดการคุณภาพพืช GAP และได้รับสัญลักษณ์ “Q” จำนวน 34 , 839 ราย
การปลูกเห็ดนางฟ้า
การเพาะปลูก การปลูกเห็ดนางฟ้า
การเพาะเห็ดนางฟ้า ก้อนวัสดุที่ใช้เพาะเห็ด ควรจะประกอบด้วย
(1.) ดีเกลือ 5 ขีด (2.) ปูนขาว 10 กิโลกรัม (3.) รำอ่อน 10 กิโลกรัม
(4.) ขี้เลื้อยไม้ยางพารา 10 กระสอบ (5.) แป้งข้าวจ้าว 2 กิโลกรัม
สำหรับวิธีการเตรียมวัสดุเพาะ ให้นำวัสดุทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มาผสมกัน เติมน้ำประมาณ 1 ถัง นำ มาคลุกเคล้ากัน แล้วนำไปอัดใส่ในถุงพลาสติกให้มีน้ำหนักถุงละ 1 กิโลกรัม ส่วนที่ปากถุงจะใช้จุกพลาสติกปิดเพื่อให้เห็ดสามารถออกดอกได้สะดวก
จากนั้น นำวัสดุที่เตรียมแล้ว ไปเข้าห้องเตาอบไอน้ำทิ้งไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง จึงน้ำออกมากจากเตาอบ แล้วมาเขี่ยเชื้อเห็ดใส่ลงในถุง จากนั้นตั้งผึ่งลมไว้ในที่โล่งโปร่งประมาณ 1 เดือน สังเกตดูจะเห็นเชื้อเห็ดเจริญเติบโตกระจายเต็มถุง แล้วจึงนำไปไว้ในโรงเรือนเพาะเห็ด
โรง เรือนเพาะเห็ดต้องเป็นโรงเรือนปิดทึบ และมีความชุ่มชื้น สำหรับวิธีการในการทำให้โรงเรือนมีความชุ่มชื้น ทำได้โดยการใช้น้ำรดวันละ 3 ครั้ง คือ เช้า กลางวัน และเย็น หลังจากนั้นไม่นาน เห็ดก็จะออกดอกและสามารถจะเก็บผลผลิตได้ทุกวันติดต่อกัน
http://learners.in.th/blog/blogjuly01/285062
ประโยชน์ของ การปลูกเห็ดนางฟ้า
มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย
และก็ยังมีสรรพคุณทางยา ที่ชาวจีนจัดว่า เป็นยาเย็น
ที่มีสรรพคุณช่วยลดไข้ เพิ่มพลังชีวิต แก้ร้อนใน
ช่วยให้หายหงุดหงิด บำรุงเซลล์ประสาท
สามารถรักษาอาการอัลไซเมอร์ และที่สำคัญยังสามารถ
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
การเกษตร หมายถึง การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ และการสงวนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์นั้นก่อให้เกิดผลผลิตที่เรานำมาใช้บริโภคในชีวิต ประจำวันและสามารถนำไปจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง ครอบครัว รวมทั้งส่งเป็นสินค้า ไปจำหน่วยยังต่างประได้
1. ความหมายของการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หมายถึง การนำผลผลิตจากการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์มาเปลี่ยน สภาพด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างลักษณะแตกต่างไปจากเดิม เช่น ข่าวสามารถแปรรูป เป็น แป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว , พืชตระกูลถั่ว แปรรูปเป็น น้ำมันพืช นมถั่วเหลือง ครีมเทียม แป้ง เป็นต้น
2. ประโยชน์ของการแปรรูปผลผลิตทาางการเกษตร
- ช่วยเก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรไว้บริโภคในครัวเรือนเป็นเวลานานโดยไม่เน่าเสีย
- ทำให้เกิดผลผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีรูปแบบและรสชาติแตกต่างจากเดิม ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้ แก่ผลผลิตทางการเกษตร เช่นมะม่วงสุก แปรรูปเป็นมะม่วงกวน น้ำมะม่วง แยมมะม่วง เป็นต้น
- ช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิต เช่น ไก่ยอ ไส้กรอกไก่ จะมีราคาแพงกว่าเนื้อไก่สดที่ยังไม่ได้แปรรูป
- ช่วยให้บริโภคสะดวกและง่ายขึ้น เช่น ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ผัก ลูกเดือย นำมาปรุงรสและ อัดรวมกันเป็นแท่งรับประทานเป็นอาหารว่าง เป็นต้น
- ผลิตภัณฑ์แปรรูปสามารถนำมาจำนวยเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว
- ช่วยป้องกันปัญหาผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด
3. ตัวอย่างการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
ผลผลิตทางการเกษตรสามารถนำมาแปรรูปได้หลายวิธี เช่น
1. ผลิตภัณฑ์แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรประเภทพืช เช่น มะม่วงกวน น้ำผลไม้บรรจุขวด
2. ผลิตภัณฑ์แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นเนื้อ ไก่ยอ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
การเกษตร “ทฤษฎีใหม่” ตามแนวพระราชดำริ
การเกษตร “ทฤษฎีใหม่” ตามแนวพระราชดำริ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนชื้น มีฝนตกค่อนข้างชุก มีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 1,500 มิลลิเมตร และมีฤดูฝนนานประมาณ 5 – 6 เดือน ในอดีตเมื่อป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ น้ำฝนส่วนหนึ่งจะถูกดูดซับไว้ในป่าส่วนหนึ่งจะไหลลงสู่ใต้ดิน อีกส่วนหนึ่งจะถูกเก็บกักไว้ตามที่ลุ่ม เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง และลำธารตามธรรมชาติ ส่วนที่เหลือจะระเหยสู่บรรยากาศและไหลลงสู่ลำห้วย ลำธาร แม่น้ำ และออกสู่ทะเล น้ำที่ถูกกักเก็บไว้ในป่าและในแหล่งน้ำธรรมชาติเหล่านี้ จะค่อย ๆ ไหลซึมซับออกมาทีละน้อยตลอดปี ส่วนที่ขังอยู่ในหนอง คลอง บึง และแอ่งน้ำต่าง ๆ ก็จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในช่วงฤดูแล้ง
ต่อมาระบบนิเวศน์เปลี่ยนไป ป่าไม้ถูกทำลาย ถูกถากถางเพื่อการเกษตรและกิจกรรมต่าง ๆ ห้วย หนอง คลอง บึงสาธารณะจะตื้นเขิน และถูกบุกรุกเข้าถือครองกรรมสิทธิ์บริเวณทางระบายน้ำออกสู่ทะเลตามธรรมชาติ ถูกใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างอาคาร ถนน ทางรถไฟ บ่อเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา และอื่น ๆ เมื่อฝนตกลงมา น้ำไหลสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีที่เก็บกัก แต่เมื่อกระทบสิ่งกีดขวางก็ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรง เมื่อน้ำท่าไหลลงทะเลหมดและไม่มีน้ำจากป่ามาเติม แหล่งน้ำธรรมชาติก็เหือดแห้ง จึงทำให้เกิดแห้งแล้งและขาดน้ำอุปโภค บริโภคอยู่เสมอ เกษตรกรที่อยู่ในสภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะชาวนาที่อยู่ในเขตใช้น้ำฝน จึงได้รับความเดือดร้อน ผลิตผลเสียหายเป็นประจำและไม่พอเลี้ยงชีพ ต้องอพยพทิ้งถิ่นฐานไปหารายได้ในเมืองใหญ่ ๆ และเกิดปัญหาด้านสังคมตามมา
นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติเมื่อปีพุทธศักราช 2489 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานและเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมพสกนิกรทั่วราชอาณาจักรเรื่อยมา พระองค์ได้ทรงประสบกับสภาพดิน ฟ้า อากาศ และภูมิประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ และทอดพระเนตรความทุกข์ยากแร้นแค้นตลอดจนปัญหาอุปสรรคของการดำรงชีวิตของประชาชนทั่วประเทศด้วยพระองค์เอง จึงทรงตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้อย่างถ่องแท้ และได้ทรงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไข เพื่อบรรเทาปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะโครงการอนุรักษ์ป่าไม้ต้นน้ำลำธาร และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดต่าง ๆ จำนวนมาก สำหรับในด้านการพัฒนาอาชีพของประชาชนในชนบท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางครั้งสำคัญเมื่อปี พ.ศ. 2532 ซึ่งต่อมาประชาราษฎร์ได้รู้จักกันอย่างดีในนามการเกษตร “ทฤษฎีใหม่”
แนวการพัฒนาชีวิตและอาชีพตามแนวทฤษฎีใหม่นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริไว้ 3 ขั้น คือ ขั้นที่ 1) การผลิต ขั้นที่ 2) การรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ และขั้นที่ 3) การร่วมมือกับแหล่งเงิน (ธนาคาร) และกับแหล่งพลังงาน
สำหรับในบทความนี้จะขอกล่าวเน้นรายละเอียดเฉพาะขั้นที่ 1) การดำเนินการผลิตในที่ดินของเกษตรกรซึ่งเป็นการเริ่มต้นขั้นแรกเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นขั้นที่สำคัญที่สุด
เกษตรพอเพียง - การรู้จักวางแผน 1
นำเสนอโดย. ท.ทิวเทือกเขา http://www.kasetsomboon.org บ้านเกษตรสมบูรณ์ ต.ร่มเย็น อ.เชียงคำ จ.พะเยา เพื่อการศึกษา
สืบเนื่องมาจากมี ผู้ที่รับชมวีดีโอนี้แล้ว เข้าใจผิด ในเรื่องที่มาของวีดีโอ ทางผู้นำมาเผยแพร่ต่อ ขออธิบายและทำความเข้าใจตามเว็ปไซต์นี้เลยครับ http://www.kasetsomboon.org/th/joomla-license/2009-05-24-10-30-14/2011-06-21-...
เกษตรผสมผสาน
1. ภูมิปัญญาไทยด้าน เกษตรกรรม : เกษตรผสมผสาน
1.1 เนื้อหาสาระของความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ สืบทอด และอนุรักษ์
- การปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้มูลสัตว์ และเศษวัชพืช
- วิธีการขยายพันธุ์ไม้ผลต่างๆ
- การเก็บรักษาและการขยายเมล็ดพันธุ์ผัก
- การผสมพันธุ์สัตว์ เช่น สุกร วัว
- การดูแลรักษาต้นไม้ ก่อนออกดอกและหลังติดผล
- การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ให้ถูกทำลายด้วยการ ไม่แพ้วถางป่า ไม่ใช่สารเคมีต่างๆ
1.2 เนื้อหาสาระของความรู้ที่ท่านได้จากการค้นคว้า ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
- การปลูกผักหวาน
- การบังคับให้ชะอมออกยอดนอกฤดู
- การป้องกันมิให้วัวมากัดกินยอดอ่อนของต้นไม้
- การดูแลต้นไม้ผลให้ติดผลดี
- การปลูกพืชผักสวนครัวแบบหมุนเวียนแปลง
- เทคนิคการปลูกพืชผักสวนครัวและการดูแล
2. การจัดตั้งศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย
2.1 วัตถุประสงค์ที่ต้องการจัดตั้งศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย คือเพื่อเป็นจุดถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เป็นที่พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ของผู้ที่มาศึกษาดูงาน
2.2 ขั้นตอน/แนวทางการจัดตั้งศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย
1. จัดตั้งกรรมการผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการศูนย์ฯ และกลุ่มองค์กร
2. สำรวจและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มเครือข่ายที่มีความสนใจที่จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
3. จัดเก็บข้อมูลและจัดหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรเพื่อแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ ในหลักสูตรต่างๆ เช่น แผ่นพับ ฯลฯ
4. คิดค้นหาหลักสูตรที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายทอดแก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ
5. กำหนดแผนการปฏิบัติงานของศูนย์ฯ ให้เหมาะสม
เกษตรอินทรีย์คืออะไร
วิธีการของเกษตรอินทรีย์
1. ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และยาปราบศัตรูพืช
2. มีการไถพรวนระยะเริ่มแรก และลดการไถพรวนเมื่อปลูกไปนาน ๆ เพื่อรักษาสภาพโครงสร้างของดิน
3. มีการเปลี่ยนโครงสร้างของดินตามธรรมชาติ คือมีการคลุมดินด้วยใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง ฟางแห้ง วัสดุอื่น ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น เพื่อรักษาความชื้นของดิน
4. มีการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด
5. มีการเติมจุลินทรีย์ท้องถิ่นที่มีประโยชน์
6. มีการเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วย เช่น เทคนิคการปลูก การดูแลเอาใจใส่ การขยายพันธุ์พืช การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การให้น้ำ ตลอดจนการเก็บเกี่ยว
7. มีการปลูกอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่า แห้งแล้ง ทำให้โครงสร้างของดินเสีย จุลินทรีย์ จะตาย อย่างน้อยให้ปลูกพืชคลุมดินชนิดใดก็ได้
8. มีการป้องกันศัตรูพืช โดยใช้สารสกัดธรรมชาติ เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้ ยาสูบ โล่ตี้น และพืชสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ดังนั้น วิธีการเกษตรอินทรีย์ จึงมิใช่เกษตรกรรมของคนขี้เกียจ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ต้องมีความมานะพยายาม ขยัน เอาใจใส่ อดทน ประหยัด ส่งเสริมการเกษตรผสมผสาน และไร่นาสวนผสม
หลักการผลิตพืชเกษตรอินทรีย์ และการปรับปรุงดิน
1. ไม่เผาตอซัง
2. ใช้ปุ๋ยคอก, ปุ๋ยหมัก
3. ใช้ปุ๋ยพืชสด
4. ใช้ปุ๋ยชีวภาพ
5. ใช้วิธีผสมผสาน ระบบการปลูกพืชผสมผสานหลายชนิด และเกื้อกูลกัน
คุณภาพของผลผลิตเกษตรอินทรีย์
1. รสชาดดี
2. สีสวย
3. น้ำหนักดี
4. เก็บไว้ได้นาน
5. มีคุณค่าทางโภชนาการ
6. เพิ่มผลผลิตสูงขึ้น
ที่มา http://www.surin.go.th/kaset2.htm
1. ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และยาปราบศัตรูพืช
2. มีการไถพรวนระยะเริ่มแรก และลดการไถพรวนเมื่อปลูกไปนาน ๆ เพื่อรักษาสภาพโครงสร้างของดิน
3. มีการเปลี่ยนโครงสร้างของดินตามธรรมชาติ คือมีการคลุมดินด้วยใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง ฟางแห้ง วัสดุอื่น ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น เพื่อรักษาความชื้นของดิน
4. มีการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด
5. มีการเติมจุลินทรีย์ท้องถิ่นที่มีประโยชน์
6. มีการเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วย เช่น เทคนิคการปลูก การดูแลเอาใจใส่ การขยายพันธุ์พืช การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การให้น้ำ ตลอดจนการเก็บเกี่ยว
7. มีการปลูกอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่า แห้งแล้ง ทำให้โครงสร้างของดินเสีย จุลินทรีย์ จะตาย อย่างน้อยให้ปลูกพืชคลุมดินชนิดใดก็ได้
8. มีการป้องกันศัตรูพืช โดยใช้สารสกัดธรรมชาติ เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้ ยาสูบ โล่ตี้น และพืชสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ดังนั้น วิธีการเกษตรอินทรีย์ จึงมิใช่เกษตรกรรมของคนขี้เกียจ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ต้องมีความมานะพยายาม ขยัน เอาใจใส่ อดทน ประหยัด ส่งเสริมการเกษตรผสมผสาน และไร่นาสวนผสม
หลักการผลิตพืชเกษตรอินทรีย์ และการปรับปรุงดิน
1. ไม่เผาตอซัง
2. ใช้ปุ๋ยคอก, ปุ๋ยหมัก
3. ใช้ปุ๋ยพืชสด
4. ใช้ปุ๋ยชีวภาพ
5. ใช้วิธีผสมผสาน ระบบการปลูกพืชผสมผสานหลายชนิด และเกื้อกูลกัน
คุณภาพของผลผลิตเกษตรอินทรีย์
1. รสชาดดี
2. สีสวย
3. น้ำหนักดี
4. เก็บไว้ได้นาน
5. มีคุณค่าทางโภชนาการ
6. เพิ่มผลผลิตสูงขึ้น
ที่มา http://www.surin.go.th/kaset2.htm
9 สมุนไพรเพื่อผู้หญิง
เพราะผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ความสวยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสวยเฉพาะภายนอกนะคะ ต้องสวยทั้งภายในและภายนอกนี่สิ ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบจริง |
เพราะผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย ไม่มีต่อมลูกหมากให้อักเสบ ไม่ต้องทรมานใจ
จากศีรษะล้าน แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะไมมีปัญหาอะไรเลย อย่างเรื่องของวัยทอง
ยังไงล่ะคะ ทั้งอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ฯลฯ แต่โชคดีที่อย่างน้อยเราสามารถ
เยียวยาอาการดังกล่าวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งสมุนไพร 9 ชนิดนี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิต
ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
1. Black Cohosh - สำหรับผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืน
จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนของหญิงวัยทองได้ดี เชื่อกันว่าการออกฤทธิ์ของสารใน Black Cohosh คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย
2. Chaste Tree Berry - สำหรับอาการปวดประจำเดือน
ผู้หญิงที่ได้เข้าร่วมทดลองกิน Chaste Tree Berry กว่า 52% ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาการระคายเคือง หงุดหงิดง่าย และปวดศีรษะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้กิน Chaste Tree Berry นอกจากนี้ สมุนไพรดังกล่าวยังช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย
3. Cranberry - สำหรับการป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ
หลายคนคงคุ้นชื่อสมุนไพรชนิดนี้เป็นอย่างดี แครนเบอร์รี่มีผลยับยั้งการยึดเกาะของเชื้อโรคกับผนังทางเดินปัสสาวะและ กระเพาะปัสสาวะ จึงป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในทางเดินอาหารไม่ควรรับประทานนะคะ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
4. Dong Quai - สำหรับสุขภาพโดยรวม
อีกหนึ่งสมุนไพรที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นโสมสำหรับผู้หญิง เพราะตังกุยช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีรอบเดือนเป็นปกติ และคลายกังวลได้ดี เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ
ชาวจีนโบราณนิยมใช้ตังกุยในการเพิ่มธาตุหยินให้ร่างกายอีกด้วย
5. Flaxseed - สำหรับสุขภาพของหัวใจ
Flaxseed อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นชนิด omega3 ที่ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้
6. Feverfew - สำหรับการปวดศีรษะ
Feverfew สามารถ ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการปวดศีรษะ ลดความถี่ของการปวดศีรษะ และลดอาการอักเสบที่เกี่ยวกับการหดตัวของหลอดเลือดได้ แต่คุณผู้หญิงที่กำลังตังครรภ์และผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ ควรกิน Feverfew นะคะ
7.Turmeric – ป้องกันการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
ขมิ้นมีสาระสำคัญคือ Curcuminoids ซึ่ง เป็นสารต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ขมิ้นกำลังเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จในการเป็นยารักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถป้องกันการแบ่งตัวของมะเร็งได้
8.Green Tea - ต้านมะเร็ง
จากวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ เพราะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) จะ ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทั้งยังจะไปจับกับโปรตีนบางชนิดในเซลล์ปกติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนเป็นเซลล์ มะเร็ง
9.Ginger - ระงับอาการคลื่นไส้
สำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้ระหว่าง ตั้งครรภ์ ขิงเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เป็น อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระงับอาการคลื่นไส้เนื่องจากเมารถ หรือจากการได้รับยาต้านมะเร็งได้อีกด้วย
จากศีรษะล้าน แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะไมมีปัญหาอะไรเลย อย่างเรื่องของวัยทอง
ยังไงล่ะคะ ทั้งอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ฯลฯ แต่โชคดีที่อย่างน้อยเราสามารถ
เยียวยาอาการดังกล่าวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งสมุนไพร 9 ชนิดนี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิต
ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
1. Black Cohosh - สำหรับผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืน
จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนของหญิงวัยทองได้ดี เชื่อกันว่าการออกฤทธิ์ของสารใน Black Cohosh คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย
2. Chaste Tree Berry - สำหรับอาการปวดประจำเดือน
ผู้หญิงที่ได้เข้าร่วมทดลองกิน Chaste Tree Berry กว่า 52% ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาการระคายเคือง หงุดหงิดง่าย และปวดศีรษะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้กิน Chaste Tree Berry นอกจากนี้ สมุนไพรดังกล่าวยังช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย
3. Cranberry - สำหรับการป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ
หลายคนคงคุ้นชื่อสมุนไพรชนิดนี้เป็นอย่างดี แครนเบอร์รี่มีผลยับยั้งการยึดเกาะของเชื้อโรคกับผนังทางเดินปัสสาวะและ กระเพาะปัสสาวะ จึงป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในทางเดินอาหารไม่ควรรับประทานนะคะ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
4. Dong Quai - สำหรับสุขภาพโดยรวม
อีกหนึ่งสมุนไพรที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นโสมสำหรับผู้หญิง เพราะตังกุยช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีรอบเดือนเป็นปกติ และคลายกังวลได้ดี เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ
ชาวจีนโบราณนิยมใช้ตังกุยในการเพิ่มธาตุหยินให้ร่างกายอีกด้วย
5. Flaxseed - สำหรับสุขภาพของหัวใจ
Flaxseed อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นชนิด omega3 ที่ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้
6. Feverfew - สำหรับการปวดศีรษะ
Feverfew สามารถ ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการปวดศีรษะ ลดความถี่ของการปวดศีรษะ และลดอาการอักเสบที่เกี่ยวกับการหดตัวของหลอดเลือดได้ แต่คุณผู้หญิงที่กำลังตังครรภ์และผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ ควรกิน Feverfew นะคะ
7.Turmeric – ป้องกันการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
ขมิ้นมีสาระสำคัญคือ Curcuminoids ซึ่ง เป็นสารต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ขมิ้นกำลังเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จในการเป็นยารักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถป้องกันการแบ่งตัวของมะเร็งได้
8.Green Tea - ต้านมะเร็ง
จากวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ เพราะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) จะ ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทั้งยังจะไปจับกับโปรตีนบางชนิดในเซลล์ปกติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนเป็นเซลล์ มะเร็ง
9.Ginger - ระงับอาการคลื่นไส้
สำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้ระหว่าง ตั้งครรภ์ ขิงเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เป็น อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระงับอาการคลื่นไส้เนื่องจากเมารถ หรือจากการได้รับยาต้านมะเร็งได้อีกด้วย
Thailand Only !
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)